ลงจากรถเมล์ ปุ๊บ!
ฝนตกหนัก น้ำท่วม มือถือแบตหมด
ที่สำคัญเหลือตังค์แค่ 6 บาทกับอีก 50 สตางค์
มองซ้าย ขวา.....นั่นตู้โทรศัพท์สาธารณะ

รีบเลย วิ่งไปโทรหาที่บ้านทันที
ตู้แรก หยอดตังค์ไปสามบาทรวด รีบกดเบอร์ผิด กดใหม่อีกทีกินตังค์ไปเลยโทรไม่ได้
ไปตู้ทัดไป สกปรกมากกกก หยอดเงินบาทเดียวพอ555 กดเบอร์ โทรติดแล้ว เย้!
แต่ทางบ้านไม่ได้ยินเสียงเราอีก กินตังค์ไปอีกบาท
ตู้สุดท้ายไม่มีกระจกกันด้านฝั่งติดถนนฝนสาดเข้ามานิดๆ รีบเข้าไปยังไม่ทันหยอดเหรียญดี
รถเมล์วิ่งมาด้วยความแรงสาดน้ำใส่เข้ามาโดนเราเต็มๆ
เปียกหมดทั้งตัว
ดีไม่ต้องโทรแล้วเดินตากฝนกลับซะเลย555 เปียกมันซะให้พอ
ไอ้ตุ้โทรศัพท์บ้า
....
พอถึงบ้านสักพัก เห็นน้องคุยมือถือนานมากกกก
พี่ชายก็หงุดหงิดใส่กับคนในมือถือ
พี่สาวเดินมาถามว่าจะว่างไปหาพ่อที่ต่างจังหวัดเมื่อไหร่
ฉันบอกยังไม่แน่ใจ เดี๋ยวโทรไปเอาก็ได้
มือถือนี้น่ากลัวจิงนะ
ขโมยเวลาเราไป ทำให้เราโกรธ โมโห ทะเลาะ คนอื่นได้ทั้งที่ไม่เห็นตัว
ทำให้เราห่างเหินกับคนในครอบครัวเพราะคิดว่าแค่โทรไปหาเท่านั้นก็พอ
....
อาบน้ำเสร็จ
ก็มานึกดูว่าทำไมตู้โทรศัพท์สาธารณะถึง สกปรก ชำรุดขาดการดูแลอย่างนี้
อาจเป็นเพราะคนสมัยนี้มีโทรศัพท์มือถือแทบทุกคน
เนื่องจากมือถือกลายเป็นเหมือนแฟชั่น เป็นเครื่องประดับ
ที่ทำให้ดูเท่ ดูมีฐานะ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมี
ดีไซน์หลากหลายให้เลือก พกพาสะดวก
ราคาก็ไม่ได้ซื้อยากอย่างสมัยก่อนแล้ว
ความสำคัญของตู้โทรศัพท์จึงลดลงไป
แต่ใครที่ได้เจอเหตุการณ์อย่างเรา ก็จะเห็นถึงความสำคัญของมันอย่างแรงทันที
...
ของทุกอย่างรอบตัวเราเมื่อไม่จำเป็นกับเราเราก็จะไม่ใส่ใจมองข้ามมัน
แต่เมื่อเราต้องการมันไม่พร้อมสำหรับเรา เราโทษมันอย่างโมโห
พอจะใช้งานไรต้องเจ๊งทุกที!
แน่นอนทุกอย่างต้องพร้อมสำหรับเราสิ!
.....
ตกดึก ฉันนั่งคิดงานส่งอาจารย์คิดเท่าไหร่ก็ไม่ออก โมโหจริง
ทำไมพ่อแม่ถึงไม่ให้ความฉลาดมาบ้างนะ
ทำไมสองมันกลวงจังว่ะ
เฮ้อ..ไปล้างหน้าล้างตา
ก็นึกถึงตอนอยู่ในตู้โทรศัพท์พังๆแถมเปียกฝน
สมองเราก็เหมือนตู้โทรศัพท์ที่พังๆมันก็ตั้งอยู่ที่เดิมรอการซ่อม รอคนสนใจมัน
สมองเราเองไม่เคยดูแลฝึกฝนมัน ทั้งที่มันอยู่กับเราตลอดเวลา อยู่กับเราทุกที่แท้ๆ
พอคิดไรไม่ออกก็โทษโน่น โทษนี่ โทษมันผิดซะงั้น
ฉันรู้สึกรักตัวเองมากขึ้นและจะพยายาม สนใจ
ให้ความสำคัญกับตัวเอง ครอบครัว
และมองเห็นประโยชน์ของสิ่งของของฉันและรอบๆตัวมากขึ้น
...