8.26.2552

คอมพิวเตอร์


โอ้ยยยยยยยยยยย
คอมพังงงงงงงงง
เบื่อจริงงงงงงงง
.............
สมัยนี้คอมพิวเตอร์กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีใช้ไปแล้ว
แต่เราไม่ได้อะไรกับมันมากหรอก
ถ้ามันไม่สำคัญกับการบ้าน
และport เราทั้งชีวิต
ได้หายไปกับการปิดตัวของมันแล้ว
.............
หัดรอบคอบ
หัดมีแผนสำรองซะ
หัดเผื่อใจ
หัดทำใจ
............
เฮ้อออออออ

8.25.2552

สมัยฝึกงาน

ตอนที่ไปฝึกงานมาช่วงปิดเทอม
ทำให้ได้รู้ไรหลายอย่างเลย
ได้วิชาความรู้ด้านโปรแกรมการออกแบบ
.............
ได้ทำไรที่เพิ่งรู้ว่าไม่ชอบหลายอย่าง
แต่พยายามจะคิดว่าตัวเองชอบอยากทำมาตลอด
.............

8.21.2552

งาน open house Bu

ช่วงอาทิตย์นี้เป็นการจัดงาน open house
ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ
เราก็ได้มีส่วนร่วมพาน้องๆที่มาดูงาน
เยี่ยมชมคณะและผลงานของศิลปกรรมศาสตร์
น้องๆมากันเยอะมากกก
..........
จากงานนี้มหาลัยดูมีสิ่งก่อสร้างประดับตกแต่งใหม่ๆขึ้นเยอะ
(ภายในชั่วพริบตาจริงๆ)
คิดถึงเวลาห้องรกแล้วเพื่อนขอมาบ้าน555
.........
กลบกันซะเหนื่อยเลย

8.07.2552

ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช


ค้นหาตัวตน "คนร่วมสมัย" ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช

เรื่อง: เสาวตรี
ภาพ: อัจฉรี
คอลัมน์ : HIP Interview
ฉบับ : November 2006 Vol.03

"การแสดงโขนร็อค แอนด์ โรลล์ 'รามเกียรติ์ ตอน นางลอย นาฏกรรมแห่งรัก แอนด์ โรลล์' ในเทศกาลลินคอล์น เซ็นเตอร์ ซัมเมอร์ เฟสติวัล ในเมืองนิวยอร์กเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีที่มาจากเรื่องรามยณะ วรรณคดีที่ทรงอิทธิพลอย่างมากต่อวงการนาฏกรรมไทย มาทําการแสดงโขนร่วมกับการแสดงร่วมสมัยอย่างดนตรีร็อค แอนด์ โรลล์ สร้างสรรค์การแสดงครั้งนี้ จาก ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ผู้กํากับการแสดง ศิลปินร่วมสมัยชาวไทยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศ..."

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราได้ยินชื่อของเขาในฐานะศิลปินไทย ที่เขย่าวงการศิลปะตะวันตกแต่หากใครยังไม่คุ้นกับชื่อนี้ลองทำความรู้จักกับตัวตนหรือแนวคิดของเขาเบื้องต้นกันก่อน ...

ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช เกิดที่ประเทศอาร์เจนติน่า และย้ายไปอยู่เอธิโอเปียในช่วงอายุ 7 - 9 ขวบ จากนั้นจึงกลับมาอยู่เมืองไทยจนจบชั้นมัธยม แล้วจึงไปเรียนต่อที่แคนาดา ก่อนจะมาต่อที่เมืองชิคาโก และย้ายไปเป็นศิลปินอยู่ในเมืองนิวยอร์ก

ตั้งแต่ปี 2531 เขาเริ่มทำงานศิลปะที่เน้นถึงกระบวนการให้คนดูมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่จัดขึ้น โดยงานยุคแรกที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เขาอย่างมากจะเกี่ยวข้องกับการนำเอาลักษณะเฉพาะบางอย่างของไทยไปนำเสนอ เช่น ในปี 2532 เขาลงมือทำ 'ผัดไทย' ในแกลเลอรี่ที่นิวยอร์ก แขกที่มาร่วมงานเปิดนิทรรศการไม่เห็นศิลปะวัตถุใดๆ นอกจากได้ร่วมกินผัดไทยและพบปะสังสรรค์กับศิลปินและคนอื่นๆ

ในปี 2535 ฤกษ์ฤทธิ์ได้ทำให้แกลเลอรี่ที่นิวยอร์คกลายเป็นห้องสำหรับกินอาหารไทยจำพวกแกงกะหรี่ ฟรีทุกวันระหว่างที่กำลังแสดงนิทรรศการ หรืออีกงานที่ฤกษ์ฤทธิ์ได้รับเลือกเข้าแสดงในนิทรรศการเสริม (Aperto' 93) ในงาน เวนิส เบียนนาเล่ (Biennale Venice) ครั้งที่ 45 ปี 2536 ในงาน 'ไม่มีชื่อ' (1271) Untitled (twelve seventy one)

ในงานนี้เขาทำก๋วยเตี๋ยวเรือในเรือสเตนเลส หยอกล้อไปกับประวัติศาสตร์อิตาลี - จีน และไทย เมื่อมาร์โคโปโลชาวเวนิสเดินทางไปจีนใน ค..1271 และนำเอาเส้นก๋วยเตี๋ยวกลับมาพัฒนาเป็นเส้นมักกะโรนีและสปาเก็ตตี้ในอิตาลี และไทยก็รับเอาวัฒนธรรมการกินก๋วยเตี๋ยวจากจีนมาดัดแปลงจนเป็นรสชาติไทยๆ ขายในเรือ และเรือขายก๋วยเตี๋ยวแบบไทยๆ ยังโยงไปถึงเมืองไทยและเมืองเวนิสที่มากไปด้วยคลอง ชาวบ้านใน 2 ประเทศนี้จึงนิยมสัญจรกันด้วยเรือ

สังเกตว่างานแสดงยุคแรกของเขามีการใช้เสน่ห์แบบไทย ซึ่งเป็นเสน่ห์ลึกลับและเป็นอื่นสำหรับคนอื่นคนไกลอย่างคนต่างชาติต่างวัฒนธรรม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างการทำอาหารเลี้ยงผู้คนฟรีๆ ถูกนำเสนอในสังคมที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้ กลายเป็นสิ่งพิเศษและแปลกน่าพิศวงสำหรับสภาพแวดล้อมนอกเมืองไทย

ต่อมาในช่วงปี 2530 - 2540 เขากลับมาไทย ร่วมงานกับศิลปินและองค์กรทางศิลปะในไทยหลายครั้ง เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากศิลปินไทยรุ่นใหม่ นักศึกษาศิลปะ องค์กรอิสระทางศิลปะและสื่อมวลชนสายศิลปะร่วมสมัย ที่เน้นเรื่องความคิดในศิลปะเป็นสำคัญ (Conceptual) โดยเน้นประสบการณ์และการมีส่วนร่วมระหว่างคนกับคน ระหว่างคนกับกิจกรรมและสถานที่ที่ศิลปินคิดและจัดขึ้น

ฤกษ์ฤทธิ์ เริ่มต้นสร้างโครงการที่นาที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อ 8 ปี ก่อนกับคามิน เลิศชัยประเสริฐ บนพื้นที่ในชนบทของหมู่บ้าน เขตอำเภอสันป่าตอง ปัจจุบันกลายเป็นมูลนิธิที่นา เป็นโครงการที่มุ่งตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกวิปัสสนา ศิลปะ การทดลองดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายในวิถีชีวิตแบบสังคมเกษตรกรรม การทำงานแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ร่วมกัน ภายใต้บรรยากาศความเป็นกัลยาณมิตร

ล่าสุด เขาทำหน้าที่ผู้กำกับการแสดงโขนร็อค แอนด์ โรลล์ 'รามเกียรติ์ ตอน นางลอย นาฏกรรมแห่งรัก แอนด์ โรลล์' ในเทศกาลลินคอล์น เซ็นเตอร์ ซัมเมอร์ เฟสติวัล ประเทศสหรัฐอเมริกา

----------

ภายในห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียกกันว่า 'อุโมงค์ศิลปธรรม' จุดนัดพบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของบรรดาศิลปินในจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่เดียวกันนี้เราได้พบเห็นการก่อกำเนิดที่อยู่อาศัยของศิลปินที่ว่ามาบนแนวคิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าคือการสร้างที่พักอาศัยโดยไม่ทำลายธรรมชาติที่อยู่เดิม เขาพาเราเดินชมบ้านที่กำลังก่อสร้างพร้อมพูดคุยถึงแนวคิดเกี่ยวกับงานศิลปะร่วมสมัย

แม้เขาจะเกิดที่อาร์เจนตินา ไปร่ำเรียนอยู่ที่ประเทศแคนาดา อาศัยและแสดงงานในนิวยอร์ก แต่เขากลับเลือกเมืองเชียงใหม่เป็นสถานที่ลงหลักปักฐาน

"ที่เชียงใหม่นี้เรามีคนที่เราคุยได้ อีกอย่างเป็นจุดที่ไกล ไม่ใช่ศูนย์กลาง คิดว่าในอนาคตสถานที่แห่งนี้จะเป็นจุดที่จะเกิดอะไรสำคัญๆ ขึ้น ที่สำคัญที่นี่เอื้อต่อการสร้างศิลปะ เป็นสถานที่ที่เรารู้สึกว่ามีทั้งความเงียบและเสียงดังอยู่ในที่เดียวกัน"

ศิลปินพเนจรเริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นของชีวิตในเชียงใหม่พร้อมรื้อฟื้นถึงประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา

"เราเกิดที่อาร์เจนติน่าเพราะว่าคุณพ่อไปทำงานสถานทูต ส่วนคุณแม่ก็ไปเรียนเป็นหมอฟัน อยู่ที่นั่นประมาณสามปี แรกๆ นี่พูดภาษาสเปนได้เลยนะ ต่อจากนั้นกลับมาเมืองไทยก็ไปเรียนต่อ ประมาณปอสามก็ย้ายไปเอธิโอเปีย ก็ไปเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ ก็กลับมาเมืองไทยเรียนอยู่ที่ร่วมฤดี เป็นโรงเรียนนานาชาติ จนจบมัธยม แต่ก็ไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือนะ จากนั้นก็เลยคิดว่าอยากไปเรียนต่อต่างประเทศมากกว่า"

จากความรู้สึกว่าตัวเองเริ่มขาดความรู้ในเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณีไทย ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนั้นขาดหายอะไรบางอย่าง

"ไม่ถึงกับว่าไม่ได้อยู่ในสังคมไทยเลยหรอกนะ แต่ว่าการย้ายที่อยู่บ่อยๆ ทำให้ไม่ค่อยจะมีรากฐานอะไร แต่ที่คิดอยากไปเรียนต่อแคนาดาก็เพราะว่ารู้สึกว่าเมืองไทยตอนนั้นทำอะไรไม่ได้ อยากเปลี่ยนอะไรก็ไม่ง่าย

"แต่แรกเลยก็ยังไม่รู้หรอกว่าอยากเรียนอะไร เวลานั่งรถไปโรงเรียนกับคุณพ่อ เขาก็จะพูดเรื่องประสบการณ์การทำงานข้าราชการ ก็บอกว่าทำอะไรก็ได้ อย่ามาเป็นข้าราชการ เป็นระบบที่เขารู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ เวลาเห็นการคอรัปชั่นอะไรต่างๆ อีกอย่างชีวิตก็ค่อนข้างจะจำเจ เลยมีความรู้สึกอยากทำอะไรที่ไม่อยู่ในระบบ"

จากความชอบการถ่ายภาพและการเดินทางสมัยที่ยังเรียน ทำให้ความมุ่งหมายกับชีวิตในตอนนั้นคือการเป็น Photojournalist

"ไปเรียนที่แคนาดาเขาก็เลยส่งให้ไปเรียนประวัติศาสตร์ก่อน เป็นวิชา History Department แต่ก็ไม่ใช่ประวัติศาสตร์อย่างเดียว แต่เป็นประวัติศาสตร์ศิลป์ด้วย พอไปนั่งดูสไลด์ก็เกิดแรงบันดาลใจบางอย่างที่เป็นคำถามที่ดีกับตัวเอง ก็เลยอยากรู้ว่าศิลปะนี่เป็นยังไง"

ความบังเอิญในขณะที่จะรอขอคำปรึกษาจากอาจารย์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยที่อยากเรียนต่อ เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นสันหนังสือสีขาวที่ยื่นออกมาจากตู้หนังสือ ทำให้เขาหยิบมาพลิกอ่านซึ่งนั่นเองคือจุดเริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยศิลปะ ประจำประเทศแคนาดา สาขาวิชา Experimental Art

"ตอนเรียนก็เลยคิดงานขึ้นมาเองเป็นแบบ Conceptual บ้าง ถ่ายรูปบ้าง เหมือนกับว่าตัวเองมีคำถามเยอะ ก็ไปหาคำตอบ เชื่อไหมว่าเพิ่งมาได้รู้ทีหลังว่า จริงๆ แล้ว ญาติพี่น้องหลายคนก็เป็นศิลปินกัน แต่ตอนเด็กเราเดินทางบ่อยไง เลยไม่ค่อยรู้ว่าเขาทำอะไรกัน"

จำเป็นไหมว่าการเรียนศิลปะต้องมีพื้นฐานการวาดรูปก่อน

"ไม่จำเป็นในปัจจุบันนะ มีอยู่ก็ดี เพราะว่าเป็นหลักการ ในขณะเดียวกันการวาด การเขียน การเพ้นท์ ก็มีวิวัฒนาการ มีอาวังกาด สร้างขึ้นมาทำลายลงไป เป็นธรรมชาติของงานศิลปะ มีการสร้างสรรค์ มีการต่อต้าน เป็นการสร้างระบบความคิด ความรู้ไปเรื่อยๆ เหมือนในตอนนี้ที่บางคนอาจจะบอกว่า ไม่มีความคิด ความรู้อะไรใหม่ๆ อีกแล้วในโลกนี้ แต่อันนี้ก็ต้องเอามาคิดว่ามันจริงหรือไม่จริงยังไง ถ้าจริงอย่างที่เขาว่าศิลปินจะสร้างงานต่อไปได้ยังไง ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นมาหมดแล้ว

"นี่ก็เป็นคำถามหนึ่งที่ต้องถามในเวลานี้

"ไม่ใช่แค่การวาดภาพเท่านั้น การเขียนภาพ เพ้นท์ภาพ ปั้น ก็เป็นสิ่งที่ทุกคนทำมาแล้ว ทุกคนเคยจินตนาการมาแล้ว เพียงแต่ถ้าเราสามารถหาช่องโหว่ที่ขาดอยู่ก็สามารถตั้งโจทย์ใหม่ขึ้นมาได้ เป็นการสร้างบางอย่างที่ใหม่โดยใช้เทคนิคเก่า

"ตอนเข้าไปเรียนก็จะพูดถึงเรื่องคอนเส็ปท์ว่าสิ่งที่อยู่ภายใต้การกระทำนั้นๆ คืออะไร เรียกว่าเป็นExperimental Art หรือ งานศิลปะแนวทดลอง แต่สำหรับเรื่องถ่ายภาพนี่มานั่งคิดอีกทีเราก็ไม่ได้ทิ้งไปเลย เราก็ยังเป็น Photojournalist อยู่ เพียงแต่เราไม่เคยจับกล้องขึ้นมาถ่าย และเป็นความตั้งใจที่จะไม่ถ่ายมาก เพราะว่าทุกคนมีกล้อง ทุกคนมีโทรศัพท์ ทุกคนถ่ายรูปได้หมด อย่างเช่น เราไปแกรนด์แคนยอน เห็นธรรมชาติที่มหาศาล ใหญ่โตก็ไปถึงตรงจุดที่ทุกคนจะต้องยืนถ่ายรูป ทุกคนก็ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ วุ่นวายใช้อุปกรณ์ที่จะบันทึกเสี้ยวเวลานี้ แล้วก็ไป พวกเขาก็จะไม่มีประสบการณ์ มีแค่ความจำ จดจำได้แค่ภาพแบ็คกราวน์ด แต่แบบนั้นเราไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขามีประสบการณ์จริงๆ กับธรรมชาติที่อยู่ตรงหน้า ความจริงแล้วควรจะยืนดู และใช้เวลาสูดอากาศหายใจ อันนี้ทำให้เป็นส่วนหนึ่งที่พยายามไม่ถ่ายภาพ

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า สมัยที่เดินทางไปประเทศเม็กซิโกหรืออินเดีย ทุกอย่างสวยงาม สามารถนำมาถ่ายภาพได้หมด แต่ในขณะเดียวกันเขาหันกลับมาตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งใกล้ตัวว่าเป็นสิ่งสวยงามด้วยหรือเปล่า เขาจึงหันมาจับกล้องถ่ายรูป เพื่อบันทึกเรื่องราวใกล้ตัวที่น่าสนใจเหล่านี้

"มีอยู่ซีรี่ส์หนึ่งที่ถ่ายรูปพระ สามเณร ถ่ายเก็บไว้แต่ก็ไม่ได้แสดง เป็นรูปที่กำลังเผลอตัวเป็นธรรมชาติหน่อย เหมือนกับหลุดจากการเป็นพระ ให้เห็นว่าพระก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งบนโลก เวลาเราเห็นพระเราก็จะได้เข้าใจว่าพระเขามีความคิดยังไง ทำอะไร แต่ในความเป็นจริงเป็นยังไงก็จะได้เห็นด้วย คือก็เป็นคนหนึ่งในโลก เช่น พระใส่ไนกี้ พระนั่งบิสิเนสคลาส พระสูบบุหรี่ เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับชีวิตเรา เพราะว่าสิ่งสูงสุดของจิตวิญญาณกำลังถูกบีบด้วยกรอบของสังคม แล้วกรอบของสังคมก็ทำให้สามเณรหรือสงฆ์กำลังมีปัญหากับสังคม

"ก็เหมือนกับสิ่งที่เราทำกับธรรมชาติด้วย ตัดไป ขุดไป สร้างกรอบสิ่งที่เราเห็นว่าดีไปทับ ซึ่งมองไม่เห็นว่าเรากำลังทำลายอะไรไปบ้าง สูญเสียอะไรไปบ้าง เราต้องการกลับสู่ธรรมชาติ อยู่ในธรรมชาติ ก็เข้าไปสร้างตึก 20 ชั้นในป่า ซึ่งก็เป็นการทำลายป่าทันที นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

"ความคิดเหล่านี้ก็ประติดประต่อกันมา เพราะตอนที่ไปเรียน เรามีความรู้สึกว่าเราขาดจิตวิญญาณของความเป็นไทยเพราะว่าตอนที่เราอยู่เมืองไทยเราก็ไม่ได้อยู่ในสังคมไทย งานต้นๆ ก็เหมือนกำลังถามคำถามนี้อยู่

เพราะการที่เราไปอยู่ในโลกอื่น แต่เกิดคำถามที่น่าสนใจกับโลกของตัวเองก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะในโลกปัจจุบัน คนกำลังสูญหายสิ่งที่เป็นตัวเอง เพราะเป็นโลกที่เปิด อย่างเช่น เวลาเพลงในอเมริกาเข้ามาในประเทศไทยก็เข้ามาอยู่นาน จนคนอเมริกาเขาจะไม่รู้จักแล้ว หรือคนอื่นเขาเป็นฮิปปี้กันจนเสร็จแล้วเราเพิ่งจะเป็น แต่สมัยนี้ก็เป็นสมัยที่เปิดและรวดเร็ว พร้อมกันทุกอย่าง โลกมันเปลี่ยนไป

"เราก็ต้องถามตัวตนของเรา ความเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เราเป็นอยู่ จะอยู่ได้ยังไง"

เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 พาดหัวแทบทุกหนังสือพิมพ์ในเมืองไทย

"ตะลึงร็อกเกอร์ชื่อดัง เสก โลโซ 'ตบ' น้อย วงพรู"

"ทีมงาน 'โขนฉาว' เตรียมแจง การแสดงเหมาะไม่เหมาะ?"

"งานที่ไปทำที่นิวยอร์กเรื่องรามเกียรติและ เรื่องเสกกับน้อยนี่เป็นประเด็นเล็กมาก มีประเด็นอื่นๆ คือกรมศิลป์ฯ มีปัญหามากๆ กับงานนี้ เหมือนกับว่าเราเอาโขนไปทำ มิดีมิร้าย ไปทำประหลาด ซึ่งเขาก็เป็นห่วงว่าจะเป็นภาพที่ไม่ดี ทำให้ภาพความเป็นไทยเสีย ซึ่งเราว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าการคิดว่าอยากเก็บรักษาอะไรบางอย่างแต่กลับมีบางอย่างเกิดขึ้นมาก็คือ ประหลาด สัตว์ประหลาดอยู่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าสัตว์ประหลาดนี่มันงอกออกมาจากตัวเอง ไม่ได้งอกมาจากที่อื่น เป็นส่วนหนึ่งที่ตัวเองทำขึ้นมา

"และสิ่งที่พยายามรักษาไว้นั้นมันก็งอกมาจากที่อื่นไม่ใช่ว่าคงอยู่ คงที่มาตลอด พอมีการปรับตัวเปลี่ยนครูบาอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลง การไปสร้างภาพให้คงที่นั่นแหละจะเป็นปัญหา

"การเปลี่ยนแปลงอยู่ในธรรมชาติของเราอยู่แล้ว ถ้าเราพูดว่าเราเป็นชาวพุทธ เราจะมาจับอะไรให้มันอยู่กับที่ทำไม เพราะธรรมชาติก็คือการเปลี่ยนแปลง"

ใช้วิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรกับการคัดค้านที่เกิดขึ้น

"ก็เจรจาไปไม่ถอย (หัวเราะ) ก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำไม่ดี ตั้งใจจะลบหลู่ แต่คิดว่าต้องเป็นการเจรจาที่ต้องเปิด เพราะว่าเราก็ไม่ได้ทำให้คนอื่น ก็เก็บทำให้กับตัวเราเอง ไม่ได้ทำให้ชาวต่างชาติดูอย่างเดียว อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ

"อาจเรียกว่าเป็นศิลปะแนวใหม่ อย่างเราไปแสดงในเวทีข้างนอก แล้วที่เขามาดูเราก็เพราะว่าเขารู้ว่าเรามาจากที่อื่น แล้วเขาก็อยากรู้ว่าเราเป็นยังไง ทีนี้เราจะเอาภาพ Cliche (คลีเช - ภาพที่เราคิดว่าคนอื่นต้องการจะเห็น) อย่างภาพที่คนไทยต้องยิ้มตลอดเวลาแล้วก็ไหว้ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของความจริงเสียทั้งหมด เราเลยไม่ต้องการนำเสนอสิ่งเหล่านั้นอย่างเดียว แต่เราต้องนำเสนอสิ่งที่คนไม่รู้ด้วย มันมีอะไรซับซ้อน ลึกซึ้งมากกว่านั้น

แต่เราจะแสดงให้เขาเห็นได้ยังไง ในเวลานี้ สถานที่นี้ นี่เป็นสิ่งที่คิดว่ารามเกียรติสร้างขึ้นมาแล้วก็สำเร็จ เราไม่ได้ไปสร้างภาพใหม่ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วในสังคม เพียงแต่ว่าสิ่งที่ใหม่ คือเรื่องของการนำเสนอมากกว่า

"เราสร้างภาพบางอย่างที่จะทำให้เขาเข้าใจเรามากกว่าที่จะไปทำภาพเก่าๆ เพราะเราก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสังคมที่หยุดอยู่กับที่ เป็นวิธีการคิดแบบนี้ แบบเดียวกัน"

สิ่งที่น่าสนใจในการทำงานร่วมกันสำหรับการแสดงครั้งนี้

"เราก็ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้กำกับ คุมทุกอย่าง แต่เราเป็นผู้กำกับที่ให้ทุกคนกำกับตัวเอง เพราะว่าในธรรมชาติของเราไม่ชอบกำกับคน ทำงานร่วมกัน ออกความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งอันนี้ก็เป็นความคิด หรือแนวการทำงานที่ไม่เคยทำมาก่อนเหมือนกัน ประนีประนอม เจรจา ออกความเห็นยังไงก็ทำไปด้วยกัน ปรับไปด้วยกัน ตามนิสัยของคนไทย"

เรื่องราวที่ต้องการนำเสนอแทรกอยู่ในทุกอย่างเลยใช่ไหม

"ใช่ วิธีการสร้างเนื้อเรื่อง เรียบเรียง ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดูง่ายๆ ต้องคิดมาก พยายามเข้าใจ บางทีก็มาดูไม่ทันบางคนก็มาดูสามทีเพราะว่าต้องการจะดูให้รู้เรื่อง"

เคยคิดอยากนำการแสดงนี้มาแสดงในประเทศไทยหรือเปล่า

"สมมติเอามาแสดงในประเทศไทยคงไม่ค่อยรู้เรื่อง งง หรือเตลิดเปิดเปิงกันไปเลย (หัวเราะ) เวลามาอยู่เมืองไทยก็ไม่ได้นำเสนองานแบบอยู่เมืองนอก เพราะเรารู้ว่าบริบทมันมีช่วงเวลาของมัน อาจจะยังไม่ถึงเวลา การคิด การดู หรือการอ่านก็มีช่วงเวลาของมัน หรือคนเชียงใหม่อาจจะดูได้ คนกรุงเทพจะดูไม่ได้ เราจะรู้เพราะเราเป็น Photojournalist เราพยายามจะรู้สึกกับบริบทที่เราอยู่ เรารู้ว่ายังไม่ถึงเวลา"

งานศิลปะแนวนี้ไม่ใช่ทางออกสำหรับคนทั่วไปที่จะสามารถเข้าถึงงานศิลปะได้ง่ายขึ้น

"นี่เป็นความเข้าใจผิดนะ การมองศิลปะทุกคนดูได้เข้าถึงได้โดยไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย คนไทยแบบชาวบ้านจะเข้าถึงงานศิลปะลึกซึ้งมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่มีขอบเขตหรือคำจำกัดว่ามันคืออะไร คนที่จะมาดู ไม่ควรจะรู้ทุกอย่าง ชอบหรือไม่ชอบนั่นคือสิ่งที่สำคัญ ความรู้สึกกับมันนั่นแหละ คือสิ่งที่ถูก

"เหมือนที่เราเห็นว่ามีตะกร้าขยะอยู่ (ชี้ไปที่ตระกร้าสานที่วางอยู่ใกล้ๆ) ฝรั่งมาเห็นก็จะซื้อไปหมด ศิลปะเราเยอะเราอยู่กับมันมาตลอด แต่ไม่ได้อยู่ในกรอบที่สูง ไม่ได้เอาไปตั้งไว้ในที่สูง"

การพัฒนาการรับรู้ของงานศิลปะที่นิวยอร์กกับไทยแตกต่างกันมากขนาดไหน

"การพัฒนามีหลายฟอร์มนะ แต่ในปัจจุบันเป็นออบเจ็กต์ (Object) เป็นสิ่งที่คนต้องการ มันกำลังเสื่อมโทรม เพราะว่ากลายเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้า ไม่ได้สร้างขึ้นมาใหม่ กำลังทำซ้ำๆ ด้วยความคิดที่ผิดๆ แต่ถ้าวัดจากประชากร เมืองไทยอาจมีสิบเปอร์เซ็นต์ เขาอาจมีแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เปิด ก็อาจมีแค่นิวยอร์ก ชิคาโก้ แอลเอ แต่ประชากรที่อื่นมีอีกเยอะยังไม่รับเรื่องงานศิลปะ จุดที่เปิดก็เป็นจุดที่เราต้องฟัง ต้องดู เพราะว่ามีการสร้างคุณค่าด้วยการเงินสูงมาก แต่เราอาจไม่เข้าใจว่าคุณค่าของมันคืออะไร

"ยังไงศิลปินก็ต้องอยู่ในทุนนิยม เพราะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ศิลปินมีโอกาสได้สร้างสรรค์ ศิลปินก็ต้องใช้ชีวิต ยังไงก็ต้องมีคนมาช่วย"

จากที่คุณพ่อบอกว่าไม่อยากให้เป็นข้าราชการแล้วเรามาเป็นศิลปิน

"เป็นศิลปินนี่ก็เบื่อสังคมศิลปินเองด้วยนะ (ยิ้ม) เราก็รู้ว่าทุกสังคมก็มีสิ่งที่ดีและเป็นปัญหา แต่คิดว่าศิลปินสำคัญตรงที่เป็นเหมือนกับทำให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองคืออะไร เช่นถ้าดูคนนี้ (ชี้ไปที่ผู้ชายคนหนึ่งผมเผ้ารุงรัง แต่งตัวสกปรกท่าทางไม่ปกติ) เราก็จะรู้ว่าเราอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เพราะว่าเขาเปิดมาก ไม่มีหลังคาไม่มีผนัง ไม่มีบ้าน เขาก็ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ตรงไหน แล้วเราก็อาจคิดว่าเราเป็นอย่างนั้นได้ หรือเป็นอย่างนั้นไม่ได้ นี่คือสิ่งที่ศิลปะทำให้กับสังคม

"ศิลปะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิต หลายคนก็อาจลืมไป มีคนที่ตามศิลปะมากจะเก็บสะสม แต่ก็ลืมว่าไม่ใช่เกี่ยวกับสิ่งของ แต่มันเกี่ยวกับชีวิต ความคิด และการกระทำ"

สำหรับตัวเองคิดว่าจุดมุ่งหมายของการเป็นศิลปินคืออะไร

"พยายามให้ใกล้กับคนนั้นมากที่สุด (ชี้ไปที่ชายคนเดิม) พยายามสร้างสิ่งนั้นจากตัวเราให้คนอื่นได้ใช้มัน เปิดกว้างเพื่อให้ได้เข้าใจตัวเอง แล้วกลับมาที่ตัวตน"

คิดไงกับที่มีคนยกย่องว่าคุณเป็นเหมือน 'วีรบุรุษวงการศิลปินไทย'

"เป็นความรู้สึกของคนที่เขาเห็นนะ หวังว่าจะใช้ชีวิตที่ดีต่อไป สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ที่เราทำไปก็เพราะว่ามีคำถามเยอะ สงสัยตัวเองตลอดเวลา สงสัยคนบางคนที่อยู่ในโลก เรารู้สึกว่าต้องตั้งคำถาม ตั้งโจทย์ แต่ก็ไม่อยากจะทำอะไรมาก ทำให้พอดี"

ฟังดูศิลปินคล้ายกับนักวิทยาศาสตร์อยู่ที่การตั้งคำถามด้วย

"ด้วยนะ แต่ผลของมันไม่เหมือนกัน ความผิดพลาดของวิทยาศาสตร์เสียหายมาก แต่กับศิลปินที่อาจมีประโยชน์มาก จุดหมายปลายทางไม่เหมือนกัน แต่วิธีการดำเนินการที่จะไปอาจจะเหมือนกัน เริ่มคิด เริ่มดำเนินการ มีจินตนาการ ต้องมีคำถาม ต้องการคำตอบบางอย่าง หรือ หากสามารถตอบคำถามได้ก็อาจเปลี่ยนบางอย่างกับตัวเองได้ก็ได้"

มองศิลปินไทยยุคใหม่ยังไงบ้าง

"คิดว่ากำลังเรียนมาก อยู่ในระบบการเรียนสูง ต้องเรียนปริญญาโท ต้องการไปต่างประเทศหรือต้องการไปอยู่ในจุดที่สำคัญ แต่ถ้าเราพยายามเข้าใจว่าเราอยู่ในโลกได้ยังไง เราก็จะทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะเรากำลังใช้ชีวิตอยู่

"แต่ถ้าเรามัวแต่เรียน แล้วจะทำอะไรได้ยังไง มันก็คือการเรียนรู้นะ แต่ว่าความเป็นจริง การเรียนในระบบมันเป็นโลกที่ทำขึ้นเพื่อให้เราอยู่ เราจึงเป็นศิลปินที่อยู่ในระบบ เอาเป็นว่าต้องใช้ชีวิต และถ้าใช้ชีวิตแล้วรู้สึกว่าอยากจะต่อต้านบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตนั่นก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

"ก็เหมือนกับอายุแค่ยี่สิบห้านี่ยังไม่มีประสบการณ์อะไรเลยในชีวิต แต่เราจะสร้างภาพขึ้นมาให้คนในโลกเข้าใจว่าชีวิตมันคืออะไร มันจะเป็นไปได้ยังไง ถ้าเราเรียนเป็นนักวาดนักเขียน แต่เราไม่ได้มีชีวิตจริง เราจะเขียนอะไรที่เกินร้อยได้ยังไง

"ก็อาจพูดได้ว่าส่วนหนึ่งของมูลนิธิที่นา อาจจะเอื้อระบบความคิดนี้ คือการทดลองการเรียนรู้แนวใหม่โดยการอยู่กับฝูงชน เพื่อนศิลปินด้วยกันสร้างความคิดขึ้นมาในบริบทของตัวเอง แต่ถ้าเราคิดว่าต้องเรียนในศิลปากรหรือมอชอ ก็ยังทำไม่ได้เพราะว่ากลัว ไม่รู้กลัวอะไร (หัวเราะ) กลัวตัวเอง กลัวไปเองว่าความใหม่จะเปลี่ยนโลกมากเกินไป ไม่ทราบเหมือนกัน

"เป็นปัญหาของมนุษย์ที่กลัวความจริงแล้วจะเจอความจริงได้ยังไง"

สำหรับในเมืองเชียงใหม่อยากจะหยิบยกเรื่องอะไรมาเป็นแนวคิดที่จะสื่อสารออกมาทางศิลปะในตอนนี้

"เรื่องที่ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ทำให้ใครดูอยู่ แล้วจะรักษาความคิดหรือว่ารักษาคุณภาพบางอย่างที่เป็นของตัวเราเองได้ไงในโลกที่เปลี่ยนหรือกำลังเปลี่ยน โดยที่จะอยู่อย่างพอดี ไม่ไปไกลเกินไป หรือไม่ลากกลับมา เกินไป เรากำลังเปลี่ยนให้ใครดู เราจะอยู่ตรงกลางได้ไง และอยู่ตรงไหน ก็กำลังนั่งดูอยู่ เหมือนกับที่เคยบอกไปแล้วเราจะทำอะไรในโลก เราต้องนั่งดูก่อน เป็นสิ่งสำคัญกับทุกคนทั้งศิลปินรุ่นใหม่หรือใครก็ตามที่กำลังจะทำอะไรขึ้นมา ก็ต้องดูว่าเรากำลังอยู่ในอะไร ใช้ชีวิตกับมัน และก็พยายามยามเข้าใจและก็ปรับตัว

"ศิลปินไทยอยู่ในชีวิตที่เป็นปรัชญา ควรใช้ปรัชญาให้เป็นชีวิต ไม่ใช่ให้เป็นรูปภาพ หรือแค่เอาไปติดอยู่กับผนัง"

-----

ครั้งหนึ่งเขาเคยตอบคำถามเกี่ยวกับการดูงานในพิพิธภัณฑ์ว่าชอบมองดูอะไรมากที่สุดในนั้น*

เขาตอบว่า ส่วนใหญ่แล้ว เขามักจะมองออกไป 'นอกหน้าต่าง' มากกว่า

คำตอบของเขาส่วนใหญ่แล้วมักจะตีความหมายได้มากกว่าความหมายเกี่ยวกับงานศิลปะ แต่สะท้อนถึงบริบท และตัวตน สำหรับคนร่วมสมัยเช่นเขา

การพูดคุยในวันนี้แม้จะสักเสี้ยวหนึ่งที่ทำให้ได้รู้จักตัวตนของเขาดีขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่มากกว่านั้นเขาได้ทำให้เรากลับมาตระหนักว่า 'การเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ' เช่นเดียวกับคำสอนในพุทธศาสนา

ซึ่งวันหนึ่งหากตัวตนต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

คำถามจึงมีอยู่ว่าเราจะเปลี่ยนไป

เพื่อให้ใครดู?

8.06.2552

Doraemon

โดเรมอน เป็นตัวการ์ตูนที่ครองใจเด็กๆทั้งชายและหญิงจริงๆ
เราชอบโดเรมอนมากกกก
อยากเล่นของจากอนาคตต่างๆ
คนแต่งถือว่ามีจิตนาการที่เก่งและน่ารักมากกกเลยอะ
......................
ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ( Fujiko Fujio) เป็นนามปากกา ของคู่นักวาดการ์ตูนมีผลงานมากมาย
โดยมีเรื่องที่โด่งดังคือ โดราเอมอน ของฮิโรชิ ฟุจิโมะโตะ (ฟุจิโมโตะ ฮิโรชิ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2476 - 23 กันยายน พ.ศ. 2539)และโมะโตะโอะ อะบิโกะ (อะบิโคะ โมโตโอะ 10 มีนาคม พ.ศ. 2477)เมื่อปี พ.ศ. 2530 ทั้งสองได้แยกกันโดยใช้ชื่อนามปากกาใหม่ว่า ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ และ ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ (เอ.)