
จากรายงานการศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ พบว่าพฤติกรรมการ
นอนหลับนั้น อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ โดยจากผลการวิจัย
ที่ทำในสตรีมากกว่า 70,000 คน เป็นเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าผู้ที่นอนหลับน้อย
กว่าคืนละ 5 ชม. จะมีอัตราการเกิดโรคเบาหวาน 34 % ส่วนผู้ที่นอนหลับมากกว่า
คืนละ 9 ชม. จะมีอัตราการเกิดโรคเบาหวาน 35 %
แสดงให้เห็นว่า การนอนหลับที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไปนั้น จะเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อ
การเกิดโรคเบาหวานได้ นอกจากนี้จากผลการวิจัยที่ว่าโรคเบาหวานที่เกิดในผู้ที่นอน
หลับน้อยเกินไปนี้จะพบในผู้ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่านั้น จึงเป็นไปได้ว่า การนอนหลับที่
ไม่เพียงพอนั้น อาจส่งผลต่อระดับสมดุลของฮอร์โมนบางตัวที่มีผลทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
ขึ้นแล้วส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานได้ โดยก่อนหน้านี้ มีการวิจัยในสหรัฐอเมริกาในผู้ที่
นอนหลับน้อยกว่าคืนละ 6 ชม. 30 นาที พบว่าร่างกายจะลดการตอบสนองต่อฮอร์โมน
อินซูลิน (Insulin) ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและมีการลดการหลั่ง
ฮอร์โมนเลปทิน (leptin) ที่ทำหน้าที่ยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่ม
และเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย
ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ดังนั้นนักวิจัยจึง
คาดว่าการนอนหลับที่น้อยเกินไปนั้นอาจลดปริมาณของฮอร์โมนเลปทินภายในร่างกาย
ทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น และส่งผลให้เกิดภาวะอ้วนได้ ซึ่งจะมีผลทำให้การทำงาน
ของฮอร์โมนอินซูลินเปลี่ยนแปลงไป และเกิดการดื้ออินซูลินแล้วจึงพัฒนาเกิดเป็นโรคเบาหวาน
ส่วนการเกิดโรคเบาหวานในผู้ที่นอนหลับมากเกินไปนั้น นักวิจัยยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน
แต่ คาดว่าอาจเป็นผลมาจากปัญหาทางด้านสุขภาพของคนกลุ่มนี้เอง เนื่องจากมักมี
แนวโน้มที่จะมีปัญหาทางสุขภาพร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอาจมีปัญหาของการหยุด
หายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับ(Sleep apnea) ที่ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกว่าพักผ่อนไม่เพียงพอ
จึงใช้เวลาในการนอนหลับยาวนานขึ้น ดังนั้นนักวิจัยจึงคาดว่า ถ้ามีปัญหาของการหยุด
หายใจเป็นช่วงๆ ขณะนอนหลับนี้ อาจทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนเป็นระยะๆ ซึ่งอาจ
รบกวนสมดุลของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้วส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานได้
ปัจจุบันนี้นักวิจัยส่วนใหญ่ก็ยังไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุที่แท้จริงของการนอนหลับที่น้อย
หรือมากเกินไปต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ ทำให้ยังคงมีการศึกษาวิจัยเรื่องนี้กันอย่าง
ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าติดตามว่าผลสรุปของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม
นักวิทยาศาสตร์ก็ยังเชื่อว่าการนอนหลับที่เพียงพอและเหมาะสมนั้นยังคงเป็นยาขนาน
เอกที่สามารถช่วยป้องกันโรคร้ายบางโรคได้
แพทย์ศิริราช แนะท่านอนที่ทำให้หลับสบาย ตื่นขึ้นมาสดชื่น "นอนตะแคงขวา"
ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย
อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ จึงควรกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา
ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานานน.พ.ชนินทร์ ลีวานันท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า
การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3
ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน
ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก บรรเทาอาการปวดหลัง ส่วนผู้ถนัดนอนตะแคงซ้าย
อาจทำให้เกิดลมจุกเสียดที่ลิ้นปี่ จึงควรกอดหมอนข้างพร้อมพาดขา
ป้องกันขาชาจากการนอนทับเป็นเวลานานน.พ.ชนินทร์ ลีวานันท์
ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า
การพักผ่อนที่ดีที่สุดคือ การนอนหลับ มนุษย์ใช้เวลาเพื่อนอนหลับถึง 1 ใน 3
ของอายุขัย ขณะนอนหลับท่านอนเป็นสิ่งสำคัญที่จะส่งผลให้ผู้นอนหลับสนิทตลอดคืน
และตื่นนอนด้วยความสดชื่น ไม่รู้สึกปวดเมื่อย ซึ่งโดยปกติคนทั่วไปคนเรานิยมนอน
หงาย เพราะเป็นท่านอนมาตรฐาน การนอนหงายที่เหมาะสมนั้น ควรใช้หมอนต่ำและ
ต้นคอควรอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว เพื่อไม่ให้ปวดคอ อย่างไรก็ตาม ท่านอนหงาย
ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำ
ให้หายใจไม่สะดวก ส่งผลทำให้การทำงานของหัวใจลำบากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้มีอาการ
ปวดหลังการนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นด้วย สำหรับท่านอนที่
ดีที่สุด เมื่อเทียบกับท่านอนอื่นๆ คือท่านอนตะแคงขวา เพราะจะช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก
และอาหารจากกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทั้งยังช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง
ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง
และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน
ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่
เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร
ส่วนท่านอนคว่ำ เป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ
เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน
ส่วนท่านอนตะแคงซ้ายซึ่งจะช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรกอดหมอนข้าง
และพาดขาไว้เพื่อป้องกันอาการชาที่ขาซ้ายจากการนอนทับเป็นเวลานาน
ท่านอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เกิดลมจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่
เนื่องจากอาหารที่ยังย่อยไม่หมดในช่วงก่อนเข้านอนคั่งค้างในกระเพาะอาหาร
ส่วนท่านอนคว่ำ เป็นท่าที่ทำให้หายใจติดขัด ทั้งยังทำให้ปวดต้นคอ
เพราะต้องเงยหน้ามาทางด้านหลังหรือบิดหมุนไปข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน
ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำจึงควรใช้หมอนรองใต้ทรวงอก เพื่อป้องกันอาการ
ปวดเมื่อยต้นคอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น